การสัมผัสรูปอารมณ์ให้คมชัด
โดยปรกติเวลาที่คนเราทำสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน สมองและประสาทการรับรู้ของเราต้อง แบ่งไปใช้กับความสนใจในหลายๆเรื่อง และต้องเผชิญกับสิ่งที่เข้ามาทำปฏิกริยากับรูปอารมณ์หลายๆสิ่ง
ในสภาวะนี้ ผู้ที่มีปมแผลในจิตใจ หรือยังมีความสับสนอยู่ในจิตใจ มีเรื่องราวมากมายที่เข้าใจผิดๆถูกๆ มีเรื่องราวที่เจ็บปวด หรือเรื่องเครียดเรื่องแค้น หรือกลุ้มอกกลุ้มใจ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม
หากอาการดังกล่าวเหล่านี้ถือเป็นโรคเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง นั่นก็ถือเป็น เชื้อไวรัสชนิดที่ชอบที่สุดที่จะแทรกซึมโจมตีและขยายตัวแพร่พัณธ์ ในร่างของคนที่ไม่มีสมาธิและไม่มีเวลาที่จะจัดการกับสภาพจิตใจของตนเองอย่างจริงจัง
และมันจะลุกลาม นับวันนับขยาย ก่อปมเป็นแผลที่ขยายเรื่อยๆกัดกินใจคุณ และกลายเป็นรูปอารมณ์ที่ก่อตัวอัดอั้นขึ้นมากทุกวัน
บางทีแล้วหากคุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เริ่มรู้ตัวว่า ตัวเองเริ่มหนักขึ้นทุกวัน หรือเรื้อรังวนเวียนไม่หายสักที ส่งผลเสียต่องานการภาระกิจและวิถีชีวิตประจำวัน รวมถึงสุขภาพ
คุณต้องตระหนักประการแรกเลยว่า คุณคือคนป่วย จงย้ำให้แน่นหนักว่า คุณเป็นคนป่วยที่ต้องการ การรักษา คุณมีอาการที่คนภายนอกมองไม่เห็น และเป็นความป่วยที่จะลุกลามขึ้นเรื่อยๆตราบที่คุณไม่ให้เวลากับการรักษาตัวเอง
การสัมผัสรูปอารมณ์ให้ชัดเจน คือกระบวนการบำบัดชนิดหนึ่งและขั้นตอนหนึ่งในการรักษา ที่มีประสิทธิภาพ
เริ่มจากขั้นแรกคุณต้องอดทนตั้งใจ ฝึกฝนการทำสมาธิให้ได้เสียก่อน
ฝึกจนกว่าคุณจะสามารถนั่งสงบนิ่ง สัมผัสสนใจเพียงแต่ลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะ และละทิ้งเรื่องราวอื่นใดออกจากพวังความคิดไปก่อน ให้ได้อย่างน้อย5นาที
ซึ่ง แม้จะเป็นเรื่องยากที่คนกลุ้มเครียดจะทำได้ แต่เราขอเพียงให้คุณฝึกทำให้ได้5นาทีเท่านั้น คุณต้องข่มใจฝึกเอาให้ได้
ระยะแรกขอให้คุณฝึกบ่อยๆที่จะทำใจให้นิ่งให้ได้อย่างน้อย5 นาที จงฝึกบ่อยๆจนชำนาญ
จากนั้นในระหว่างที่คุณสามารถควบคุมสมาธิได้แล้ว ในระหว่างที่กำลังทำสมาธิอยู่ให้คุณค่อยๆฝึก สัมผัสภาวะห้วงอารมณ์ภายในจิตใจ สัมผัสถึงความเจ็บ ความปวดร้าว ความกังวลใจทั้งหลายในจิตใจคุณ
การสัมผัสในที่นี้มีข้อกำหนดคือ คุณจะต้องไม่ชักนำภาพของเหตุที่ทำให้คุณ ทุกข์ใจ มาฉายในสมอง และคุณอย่าไปปรุงแต่งให้มันเกิดขึ้นมาเอง แต่จงจับสังเกตุว่ามีอะไรบ้างในจิตใจ
คุณเพียงสัมผัสรูปของอารมณ์เท่านั้น คุณยังไม่ต้องไปเอาเรื่องต่างๆมาคิดว่า มันเป็นมายังไง เพราะอะไร ทั้งนั้น
คุณเพียงกำหนดสติสัมผัสว่า จิตใจมันเป็นยังไง มันรู้สึกวาบ ที่ทรวงอกหรือท้องน้อยอย่างไร มันรู้สึกเป็นพลังงานแบบไหน บริเวณไหนบ้างของร่างกาย
และค่อยๆตรวจสอบไปที่บริเวณศรีษะ ว่ามันเป็นลักษณะไหน สัมผัสถึงจุดที่เครียดเกร็ง ในบริเวณต่างๆ สัมผัสถึงการไหลเวียนของเส้นเลือด
สัมผัสทุกอณูที่เกิดขึ้นในร่างกาย เวลาที่รู้สึกเจ็บแปลบทุกข์ใจ พยายามเพ่งจิตและสมาธิสำรวจร่างกายตน
กำหนดสติสัมผัสไปเรื่อยๆจนจิตเข้าสู่สภาวะ คมชัด จดจ่ออยู่แต่กับสิ่งเหล่านี้โดยปราศจากเรื่องอื่นใดภายนอกเข้ามาบดบังรบกวน
เมื่อคุณมองเห็นปฏิกริยาทางเคมี และรูปรสของอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นแล้ว
คุณจงฝึกการรู้แจ้งด้วยการ มองเห็นกลลวงของร่างกาย มองกระบวนการนี้อย่างเห็นในปรากฏการณ์ของธรรมชาติร่างกาย จงตระหนักว่า ที่แท้มันก็เป็นแค่กระบวนการทางเคมีในร่างกายนี่เอง
มนุษย์เป็นสิ่งมี่ชีวิต ที่มีเลือดไหลเวียน มีหัวใจเต้น มีระบบความดัน มีองค์ประกอบต่างๆของความเป็นชีวิต
เรื่องต่างๆที่มนุษย์นำมาเครียดกลุ้ม หลายเรื่องเป็นกลไกลทางสังคมที่มนุษย์เราอุปโลกษณ์ปรุงแต่งขึ้นมาเอง ให้เราหวงแหนยึดติด และรู้สึกรู้สากับมัน
หลายเรื่องก็เป็นเรื่องของสัจธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย สูญเสีย พรากจาก และมุมมองของความลำบากทุกข์ยาก
มนุษย์เราถูกถ่ายทอดโปรแกรม จากสภาพแวดล้อมและสังคมรอบตัวเข้าสู่สมอง เวลาที่เราผิดหวังเสียใจ หรือสูญเสีย เราก็มักจะคิดด้วยรูปเรื่องของสิ่งเหล่านั้น และคิดด้วยภาษา ภาษาไทยบ้างภาษาต่างชาติบ้างในความคิด
โดยเราลืมตระหนักไปว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้นในร่างของเรามีแค่รูปแบบของเคมีในร่างกายเท่านั้น ที่หลงกลไปปรับสภาวะร่างกาย ตามผลกระทบของชีวิต
จงควบคุมการไหลเวียนของร่างกายให้อยู่ในสภาวะปรกติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฝึกทำให้ดีกว่าเดิม
จงสัมผัสลักษณะของรูปอารมณ์ ในภาวะที่เป็นสมาธิ พิจารณาให้เห็นแจ้งถึงเนื้อแท้ของมันที่เป็นเพียง อุณภูมิความร้อน เย็น ,แรงของความดัน,ความช้าเร็วของการไหลเวียน,การเครียดเกร็งของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ,และลักษณะของลมหายใจ
สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้คนมักละเลยที่จะสังเกตุ และมักจะเอาแต่คาดหวังว่าจะ แก้ไขความทุกข์ด้วยการคิดๆๆๆ หรือด้วยการหาทางให้ได้มา ซึ่งสิ่งภายนอกให้ก่อเกิดความสมหวังหรือผ่อนคลายใจ
คนทั่วไปมักจะลืมสังเกตุกระบวนการที่เกิดขึ้นกับร่างกายแต่มัก จะคิดแต่เนื้อหาเรื่องราวชีวิต
พวกเราติดอยู่ในกฏเงื่อนไขที่เราวางไว้เองอย่างแคบๆและยุ่งยาก
ดังนั้นการฝึกมองให้เห็นเนื้อแท้ของความทุกข์ มองให้เห็นว่ามันมีเพียงแค่กระบวนการในร่างกาย มองเห็นมันได้อย่างคมชัด สัมผัสจดจำได้อย่างแม่นยำ
เมื่อคุณฝึกในการมองเห็นเนื้อแท้ของมัน บ่อยๆ อย่างน้อยวันละ2ครั้งหรือ3ครั้ง
คุณก็จะชำนาญมากขึ้น พอที่จะสามารถเข้าจัดการกับระบบในร่างกายได้ เช่นเมื่อเผลอตัวโดนรูปอารมณ์เล่นงาน ก็ให้ตั้งใจกำหนดสมาธิสัมผัสระบบการไหลเวียนและการปรับอุณภูมิในร่างกาย สัมผัสลมอุ่นที่ทำให้รุ้สึกใจหวิวตรงทรวงอกและท้องน้อย สัมผัสความผิดปรกติเหล่านั้นแล้วค่อยๆควบคุมร่างกายในจุดต่างๆให้ดีขึ้น อย่างเช่น ปรับลมหายใจให้กลับสู่ภาวะปรกติ ปรับจุดตึงเครียดของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่ศรีษะให้ผ่อนคลายลง ปรับการหายใจให้เป็นปรกติ
กระบวนการฝึกเช่นนี้จะให้คุณประโยชน์มากๆ นำไปปฏิบัติควบคู่กับการบำบัดใน ส่วนอื่นๆ จะให้ผลที่ดี ส่งผลถึงขั้นที่ คุณไม่เพียงแค่รักษาสภาพจิตใจตัวเองหายกลับมากลายเป็นคนปรกติได้ แค่นั้น แต่ยังจะกลับมาเป็นคนใหม่ที่มีพลังจิตที่มีศักยภาพกว่าเดิมอีกด้วย
เนื้อหาข้อเขียนในบทความเขียนโดย setmem