ไขว่คว้ายากมิใช่แปลว่ามีค่ามากเสมอไป ประโยคนี้เป็นข้อคิดที่เหมาะจะเตือนสติ สำหรับผู้ที่ผิดหวังซึมเศร้า รุนแรงกับการผิดหวังในสิ่งที่หวังใฝ่ หรือสญเสียในสิ่งที่ตนมองว่าหายาก ครอบครองยาก ซึ่งจริงๆแล้วโลกเรานี้ สิ่งใดๆก็ตามที่ไขว่คว้ายาก เสาะหายาก ครอบครองยาก หรือห่างไกล หรือไม่เหมาะสมกับเรา นั้น มิได้จะแปลว่ามีค่าเสมอไป อาจจะยากสำหรับเรา แต่อาจไม่ยากสำหรับผู้อื่น อาจจะยากสำหรับผู้อื่นและเรา แต่ก็ไม่ยากสำหรับสรรพสิ่งอื่น อีกทั้งโลกเรายังมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ หาสาระคุณค่ามิได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งหายากก็ตาม
หมายความถึง ในวันที่คุณรักษาจิตใจจนหายดีแล้ว และในวันใดที่เผลอใจ มองเรื่องราวที่ปวดร้าวในอดีต จงมองด้วยมุมมองของปัจจุบัน มองอย่างคนที่เติบโตแล้ว และจงมองอย่างแข็งแกร่ง อย่าเอาใจไปอ่อนไหวตามสภาวะการในอดีต ซึ่งโดยปรกติแล้วคนทั่วไปหลายๆคน เวลาที่นึกถึงเรื่องอดีต ก็มักจะเผลอใจมองสิ่งต่างๆด้วยความรู้สึกร่วมเดียวกับตัวตนในวันวาน แต่สำหรับอดีตที่ปวดร้าว ที่เจ็บช้ำ คุณต้องเตือนสติตัวเองว่าในวันนี้คุณไม่ใช่คนเดิมแล้ว คุณมีการพัฒนาจิตใจนิสัย เรียนรู้โลกมากขึ้น จิตใจของคุณเติบใหญ่แล้ว คุณมองตัวตนของตัวเองในอดีตที่เคยอ่อนแอเปราะบางฟูมฟาย ประดุจดั่งนั่นไม่ใช่ตัวคุณอีกต่อไปแล้ว มองอย่างเข้าใจตัวเองในอดีต แต่ไม่ใช่มองอย่างรู้สึกร่วมประดุจเป็นตนเอง
บำบัดด้วยวิถีแห่งเซ็น เซ็น เป็นชื่อของนิกายหนึ่งทางพุทธศาสนา หลักวิถีของเซ็น นั้นมีแนวทาง หลายแง่มุมที่ประชาชนทั่วไปสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตปัจจุบันได้แม้ว่า ท่านจะไม่ได้นับถือศาสนานี้นิกายนี้ก็ตาม อันที่จริงแล้วในหลายๆศาสนานั้นก็มีหลายๆคำสอนที่สอดคล้องไปในทางเดียวกัน อยู่ที่ผู้คนจะเลือกปรับใช้ สำหรับวิถีแห่งเซ็นนั้น ด้านที่เด่นชัดมากๆ นั่นก็คือการใช้หลักเรียนรู้สัจธรรมความเป็นจริง จนตระหนักได้ถึง ความไม่เที่ยง ความไม่จีรังยั่งยืน ความไม่มีตัวตนของทุกสรรพสิ่ง ความอุปโลกษณ์ ความยึดติดยึดมั่นถือมั่น ของสังคมมนุษย์ และรู้แจ้งถึงการรับสภาพของสัญชาติญาณที่ติดตัวมาของชีวิต ยอมรับธรรมชาติในขั้นพื้นฐาน ที่มนุษย์ยากที่จะสละได้ เช่นความหิว ความกระหาย การมองเห็นการสัมผัส ความมีตัวตนของธรรมชาติ ยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ไม่เพิ่มความปรุงแต่งไปมากกว่านี้ เรียนรู้สัจธรรมจากนั้นก็ปล่อยวาง อยู่กับวิถีที่เรียบง่าย ไม่ทำสิ่งใดให้ยุ่งยาก มากความกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อล้วนมองออกว่าสรรพสิ่งล้วนมิใช่มีตัวตน และเรื่องราวยุ่งยากมากความต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ ไปสร้างนิสัย…
แง่คิดของความอดทนในอิสลาม มีบทความบทหนึ่งในเนื้อหาที่เกี่ยวกับ ศาสนาอิสลามที่เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ ครั้งหนึ่งโดยกล่าวถึง รายงานจากท่านอนัส บิน มาลิก ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่า : ท่านนบี ได้เดินผ่านสตรีผู้หนึ่งที่กำลังร้องไห้อยู่ที่หลุมฝังศพ ท่านนบีจึงได้กล่าวกับนางว่า : จงยำเกรงอัลเลาะห์ และจงอดทนเถิด นางจึงได้กล่าวตอบว่า : เจ้าจงไปให้ไกลๆฉันเลย เจ้ามิได้ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับที่ฉันได้ประสบนี่(สตรีผู้นี้ไม่รู้จักท่านนบีมาก่อน) ดังนั้นจึงมีคนบอกกับนางว่า : แท้จริงเขาผู้นั้นคือ ท่านนบี นางจึงได้ไปที่ประตูบ้านของท่านนบี และพบว่าประตูบ้านของท่านนบีไม่มีใครเฝ้าอยู่ นางจึงได้กล่าวกับท่านรอซูลในเชิงขอโทษว่า : ฉันไม่รู้จักท่านมาก่อน ท่านนบี จึงกล่าวว่า :…
หนทางแห่งความรักและเมตตาธรรม ในศาสนาคริสต์ หากเราลองพิจารณาวิถีในศาสนาคริสต์ดู ตามคำกล่าวดังนี้ซึ่งพระศาสนจักรคาทอลิก ได้กล่าวถึง เมตตาธรรมเอาไว้ว่า เมตตาธรรม ทำให้เราสามารถเห็นพระพักตร์ของพระเยซูคริสตเจ้า ในคนยากจนและขัดสน พระองค์ทรงสอนว่า เมื่อเราหิว กระหาย โดดเดี่ยว ท่านได้มาช่วยเหลือเรา (เทียบ มธ 25.36) อาศัยความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรง “มอบชีวิตของพระองค์เพื่อเรา” (1 ยน 3:16) ประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรมีหลักฐานชัดเจนว่าได้มีความริเริ่มเกี่ยวกับงานเมตตามากมาย ในสมัยปัจจุบันบรรดาคริสตชนทั่วโลกเอาใจใส่คนยากจนและขัดสน ด้วยวิธีทางต่างๆ ตั้งแต่เป็นประจักษ์พยานชีวิตธรรมดาๆ จนถึงกิจการขององค์กรคาทอลิกมากมาย ความริเริ่มต่างๆ ของเมตตาจิตแบบคริสตชน ต้องแสดงถึงการอุทิศตนของพระศาสนจักร และความซื่อสัตย์ต่อคำสอนของพระเยซูเจ้า (ปอล ที่ 6…
ความปราถนาอย่างแรงกล้า ที่จะรักษาตัวให้หายคือสิ่งสำคัญที่สุด ตลอดช่วงระยะเวลา ที่ผมได้พบเจอผู้คนแต่ละคน ที่เข้ามาปรึกษาปรับทุกข์ และบอกกับผมทำนองว่าเขาอยากเลิกทรมาน กับความเสียใจ ทุกข์ใจสักทีนั้น เชื่อหรือไม่ว่า 90% มักมีอาการหลอกตัวเอง หลอกตัวเองนั่นก็คือ ปากบอกอยากหาย แต่แท้จริงในใจกลับไม่ใช่อยากหายเลย โดยที่เจ้าตัวยังคงไม่รู้ตัวและไม่รู้จักใจของตัวเองมากพอด้วยซ้ำ แท้จริงใจเบื้องลึกที่ลึกชนิดเจ้าตัวยังไม่รู้ตัวนั้น เขาต้องการ เพียงแค่คนที่รับฟังเขา ให้เขาได้ระบายเท่านั้น เหมือนเขายังคงจมเจ่าอยู่กับความอยากพยายามดิ้นรนให้สมหวัง ยังคงอยู่ในพวังที่คล้ายความฝันเฝ้าจินตนาการ ย้ำคิดถึงแต่เรื่องที่สูญเสีย หรือสิ่งที่ต้องการอยากให้เป็น อยากได้คืนมา สลับกับการเผลอตัวคิดถึงสิ่งที่เคยมี ผมขอบอกเลยว่า ความอยากหายเท่านั้น ที่จะช่วยฉุดให้คุณขึ้นมาจากนรกของคืนวันอันโหดร้ายได้ อยากหายในที่นี้นั้นหมายถึงความอยากรักษาอาการ ทุกข์ใจนี้ให้หาย โดยที่ไม่พึ่งในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ อย่างเช่นความเพ้อฝันอยากย้อนคืน อยากพยายามดิ้นรนให้อะไรมันเป็นเหมือนเก่า เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งความอยากหายที่ผมหมายถึงนั่นก็คือ…
เข้าใจสภาวะภายในที่เกิดขึ้นของผู้ป่วย การทำความ เข้าใจสภาวะของผู้ป่วย หรือผู้ที่มีอาการซึมเศร้าทางจิตใจคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ความรู้สึกและอาการต่างๆภายในจิตใจนั้นมันเป็น เรื่องที่บุคคลภายนอกยากมองเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ตัวหนังสือหรือคำพูดไม่สามารถบรรยายให้เข้าใจได้ในหลายส่วน บางเรื่องต้องเคยมีประสบการณ์จึงจะเข้าใจ บางเรื่องแม้เคยมีประสบการณ์แต่ก็สูญเสื่อมความรับรู้ที่คมชัดไปแล้ว และด้วยเหตุที่ขาดความเข้าใจถึงภาวะเหล่านี้ นั้นอาจทำให้เราละเลยคนรอบข้างของเรา หรือแม้แต่เลวร้ายถึงขั้น ที่บางคนถูกคนรอบข้างทำร้ายจิตใจ ให้สะเทือนไม่สิ้นไม่สุด หรือถูกปั่นหัวอย่างคึกคะนอง หรือถูกความชินชาหรือแม้แต่รำคาญ เข้าทำร้ายจิตใจ จนเข้าสู่ภาวะวิกฤติได้ อันเนื่องมาจากผู้กระทำ ขาดความเข้าใจถึงสภาพภายในอันแท้จริงว่ามันเป็นอย่างไร หากคุณเป็นบุคคลภายนอกที่มีความประสงค์ดีและอยากทุ่มเทเสียสละเวลา มาช่วยให้คนๆหนึ่งหลุดพ้นฟื้นขึ้นมาได้จากโรคซึมเศร้า คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจถึงภาวะที่เกิดขึ้นกับคนที่ตกออยู่ในภาวะเครียดซึมเศร้า สิ่งที่คุณควรจำเป็นต้องเรียนรู้พื้นฐานนั้นมีดังนี้ 1.คนที่ตกอยู่ในภาวะ คร่ำเคร่งสมองและจิตใจตนเองเรื้อรังสะสมมาหลายวัน คนเหล่านี้จะมีสภาพประสาทสมองที่ล้าและตีบแคบ บางทีไม่สามารถเข้าใจเรื่องง่ายๆได้ และบางทีอาจทำตัวแบบคนโง่งม จนอาจเป็นที่หมั่นไส้ของคนพบเห็น ซึ่งขอให้จำไว้ให้ดีว่า เราจะเอาสภาพปรกติที่สมองสมบรูณ์แจ่มใสของตัวเรา ไปตัดสินเขาไม่ได้ เราต้องเข้าใจสภาพทางเคมี ในตัวของผู้ป่วยทางจิตใจ …
อย่าพยายามฝืนให้เขาแกร่ง ในสภาวะที่ไม่เหมาะแก่เวลา การกระตุ้นให้แข็งแกร่ง ด้วยการเอ่ยถ้อยคำที่ไม่แสดงความสงสารหรือเห็นใจ หรือแม้แต่บางรายใช้การกล่าวหยันเหยียด หรือหัวเราะหมั่นไส้ หรือแสดงความสมเพชอย่างไรก็แล้วแต่ ด้วยหวังลึกๆว่าจะช่วยกระตุ้นให้ คนที่กำลังซึมเศร้าแข็งแกร่งขึ้นได้นั้น ถือเป็นหลักวิธีที่หลายๆคนนิยมนำมาใช้กันอยู่ แต่วิธีเหล่านี้ไม่สามารถใช้ได้ในทุกกรณีโดยเฉพาะกับผู้ป่วยซึมเศร้าในลักษณะที่ก่อเกิดถึงขั้นโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะกับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ต่อเรื่องของกลไกลภาวะจิตใจมนุษย์ ยิ่งเป็นปัจจัยสุ่มเสี่ยงที่จะซ้ำเติม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าโลกนี้โหดร้ายขึ้น อยู่ยากขึ้น และไม่มีใครเข้าใจหรือเห็นใจเขา ดังนั้นผู้ที่จะทำการดูแลช่วยส่งเสริมการรักษาตัวของผู้ป่วย ควรทราบถึงข้อสำคัญดังต่อไปนี้ 1.อย่าเอาตนเองเป็นที่ตั้ง เช่นพูดข่มผู้อื่นว่าตนเองเคยเจอเรื่องร้ายๆมาแล้ว ตัวเองเคยเจอเคยผ่านสิ่งนั้นสิ่งนี้ ควรทราบว่า ระดับขีดจำกัดของคนนั้นมีไม่เท่ากันแตกต่างกัน อีกทั้งเรื่องราวที่เจอย่อมมีรายละเอียดของเนื้อหาและบริบทที่ต่างกัน เจอในภาวะที่ต่างกัน ย่อมมีข้อแตกต่างไม่มากก็น้อย และที่สำคัญในยามที่ตนเองเผชิญนั้นก็ต้องอาจผ่านในจุดที่อ่อนแอเช่นกัน และไม่จำเป็นต้องเอาสภาพที่โหดร้าย ให้ผู้อื่นเผชิญเฉกเดียวกับตนเองเสมอไปหากสามารถทำให้ดีกว่าได้นั้นคือสิ่งที่ควรทำ 2.คนในภาวะอ่อนแอหรือมีการกระทบกระเทือนจิตใจ ควรทราบว่านั่นเป็นภาวะที่ร่างกายเกิดความผิดปรกติทางโครงสร้างระบบประสาทและสารเคมี ความรู้สึกทุกข์สุขในระบบประสาทมีการทำงานแปรปรวนและอารมณ์ที่สับสน สติและปัญญาที่ตีบแคบลง…
ฝึกฝนการใช้ชีวิตใหม่ คือยารักษาที่วิเศษและมีพลัง ในยามที่สูญเสียใดๆไป กลับกลายเป็นเหมือนดั่งเด็กน้อยผู้เดียงสาอ่อนโลก ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบอื่นได้เป็น และปัญหานี้มักเกิดขึ้นในความรู้สึกของหลายๆคน ที่ต้องเผชิญภาวะเปลี่ยนแปลงของชีวิต สิ่งสำคัญที่คุณควรทราบก็คือ ขอให้รู้ไว้ว่า หากคุณกำลังรักษาจิตใจตัวเอง ด้วยการพยายามลืม หรือด้วยการพยายามเหลือเกินที่จะหาสิ่งสุขใส่ตัว พยายามเหลือเกินที่จะทำตัวให้ร่าเริง หรือคิดฝากฝังให้คนรอบข้างช่วยกันดูแลคุณในยามนี้ ช่วยพาคุณไปเที่ยวในที่ต่างๆ หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้คุณได้หัวเราะได้มีความสุข ขอให้รับรู้ไว้ว่า สิ่งเหล่านั้นมันเป็นได้เพียงสิ่งบรรเทา แต่ความยากลำบากในจิตใจ มันจะยังคงเกาะกินลึกๆในใจ และคอยแวะวนเวียนมาหลอกหลอนความรู้สึกของคุณอยู่เป็นระยะๆ หนทางที่ดีที่สุด ก็คือ เมื่อคุณได้ใช้ปัจจัยต่างๆที่ช่วยบรรเทาจนคุณพอที่จะลุกขึ้นยืนได้บ้าง พอที่จะมีสติได้บ้าง พอที่จะต่อสู้ด้วยตัวเองไหว คุณจะต้อง ยืนหยัดด้วยตัวเองเป็นลำดับต่อไป คุณจะต้องทำความเข้าใจ และแก้ไขความบกพร่องของตัวเองที่ผ่านมา ควรเหลือเกินที่คุณจะไตร่ตรองว่าที่ผ่านมา คุณยึดติดกับรูปแบบอะไรบ้างในวิถีชีวิตเก่าๆ อะไรบ้างที่มันทำให้คุณอ่อนแอเกินไปพึ่งพิงบางสิ่งมากเกินไป คุณต้องแก้ไขมันไปทีละอย่างไปทีละเรื่อง และตั้งใจมองสิ่งใหม่ๆ…
กำจัดทัศนคติผิดๆที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ หากเราลองสังเกตุระบบความคิดต่างๆที่นำพาทุกข์มาให้เรา หรือสังเกตุจากตัวเราที่เป็นทุกข์หรือสังเกตุหรือจากผู้อื่นที่เป็นทุกข์ เราจะพบว่าหลายครั้งในเวลาที่เราเฝ้าระบายพร่ำเพ้อจิตใจที่ขุ่นเครียด เศร้าทุกข์ใจ ในเรื่องราวที่เราได้ระบายออกมา จากความอัดอั้นตันใจ บางทีแท้จริงแล้วมันก็เหมือนสายน้ำ ที่เราจำเป็นที่จะต้องย้อนไปมองดูที่ต้นน้ำและตั้งใจจัดการที่สาเหตุ ของความคิดมากอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนปมไว้มากมาย บางทีเราอาจไม่ทันรู้ว่า สิ่งพื้นฐานประการหนึ่งที่ นำมาซึ่งความคิดความรุ้สึกที่เจ็บปวดที่เราเป็นอยู่และคนควรจะต้องมองมันให้เห็น นั่นก็คือ “ทัศนคติ” เคยเจอไหมคนที่มักชอบพูดว่า “ถ้าฉันไม่มี สิ่งนั้น ฉันอยู่ไม่ได้” “ถ้าฉันไม่มีเธอฉันเดินต่อไปไม่ไหว” ถ้าฉันมี หรือถ้าฉันไม่มี สิ่งนั้น สิ่งนี้ ฉันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ นี่คือตัวอย่างของทัศนคติที่ผิดๆ การปลูกฝังทัศนคติแบบผิดๆให้ตัวเองนำพาไปสู่การฝึกนิสัยจิตใจและอารมณ์ที่ไม่ถูกต้อง และเป็นปัญหา ให้ตัวเองเป็นลำดับต่อมา เมื่อเชื่อยังงั้นคิดยังงั้น อยู่แบบนั้นนานวันเข้า ตัวเองก็กลายเป็นแบบนั้นไปจริงๆ หากว่าคุณคือหนึ่งคนที่มีทัศนคติทำนองนี้อยู่ ขอให้คุณลองตั้งสติคิดสักนิดว่า ความคิดแบบนั้นมันคือทัศนคติที่หลอกลวงต่อความเป็นจริง …