เข้าใจความเป็นจริงของที่อยู่แห่งชีวิตและเรียนรู้ที่จะอยู่ได้ โลกเรานั้น จะสังเกตุได้ว่า แทบจะทุกสิ่งมีชีวิต ทั้งพืช สัตว์ แมลง และมนุษย์ ล้วนต้องปรับตัวที่จะอยู่ในสภาพความเป็นจริงให้ได้ มนุษย์เราไม่รู้สึกทุกข์ทน รังเกียจรูปลักษณ์ของเรา มนุษย์เราไม่รู้สึกทุกข์ใจกับความเป็นอยู่บางประการของเรา มนุษย์เราเกิดลืมตาดูโลกมา โลกจะค่อยๆป้อนข้อมูลต่างๆในสิ่งรอบตัวของเราและในสิ่งที่เราอยู่ในสิ่งที่เราเป็น ให้เราเรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่ร่วม ได้อย่างปรกติและเคยชิน โลกสอนให้เรารู้ว่าเรามีเพียงสองขา สองมือ เราบินไม่ได้เหมือนนก เราสายตาไม่ยาวไกลเหมือนอินทรีย์ เราอาศัยอยู่ใต้น้ำไม่ได้ เรามีการหิว เรามีการขับถ่าย เรามีการป่วยไข้ เรามีสิ่งปฏิกูล ฯลฯ เราค่อยๆเรียนรู้ขีดจำกัดและความเป็นจริงของเรา อย่างไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาน่าทุกข์ร้อนอะไร เราล้วนเติบโตมาอย่างผ่านการเข้าใจยอมรับสิ่งที่เป็น ในความเป็นจริง ต่างๆนาๆ เราชินต่อวิถีของความเป็นมนุษย์ แต่………………. หากเป็นเรื่องใด ที่มนุษย์ไม่เคยมองเห็นความเป็นจริง…
กำจัดทัศนคติผิดๆที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ หากเราลองสังเกตุระบบความคิดต่างๆที่นำพาทุกข์มาให้เรา หรือสังเกตุจากตัวเราที่เป็นทุกข์หรือสังเกตุหรือจากผู้อื่นที่เป็นทุกข์ เราจะพบว่าหลายครั้งในเวลาที่เราเฝ้าระบายพร่ำเพ้อจิตใจที่ขุ่นเครียด เศร้าทุกข์ใจ ในเรื่องราวที่เราได้ระบายออกมา จากความอัดอั้นตันใจ บางทีแท้จริงแล้วมันก็เหมือนสายน้ำ ที่เราจำเป็นที่จะต้องย้อนไปมองดูที่ต้นน้ำและตั้งใจจัดการที่สาเหตุ ของความคิดมากอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนปมไว้มากมาย บางทีเราอาจไม่ทันรู้ว่า สิ่งพื้นฐานประการหนึ่งที่ นำมาซึ่งความคิดความรุ้สึกที่เจ็บปวดที่เราเป็นอยู่และคนควรจะต้องมองมันให้เห็น นั่นก็คือ “ทัศนคติ” เคยเจอไหมคนที่มักชอบพูดว่า “ถ้าฉันไม่มี สิ่งนั้น ฉันอยู่ไม่ได้” “ถ้าฉันไม่มีเธอฉันเดินต่อไปไม่ไหว” ถ้าฉันมี หรือถ้าฉันไม่มี สิ่งนั้น สิ่งนี้ ฉันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ นี่คือตัวอย่างของทัศนคติที่ผิดๆ การปลูกฝังทัศนคติแบบผิดๆให้ตัวเองนำพาไปสู่การฝึกนิสัยจิตใจและอารมณ์ที่ไม่ถูกต้อง และเป็นปัญหา ให้ตัวเองเป็นลำดับต่อมา เมื่อเชื่อยังงั้นคิดยังงั้น อยู่แบบนั้นนานวันเข้า ตัวเองก็กลายเป็นแบบนั้นไปจริงๆ หากว่าคุณคือหนึ่งคนที่มีทัศนคติทำนองนี้อยู่ ขอให้คุณลองตั้งสติคิดสักนิดว่า ความคิดแบบนั้นมันคือทัศนคติที่หลอกลวงต่อความเป็นจริง …