ความสันโดษ ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย สิ่งที่ ผู้คนที่ประสบภาวะอกหักและเสียใจรุนแรง มักต้องเผชิญกับความทุกข์ใจอันหลากหลาย และหนึ่งในนั้นที่มัก เป็นกันมากนั่นก็คือ ความรู้สึกเหงา อ้างว้าง ต้องการความอบอุ่น และเกลียดความโดดเดี่ยว แน่นอนว่าความรู้สึกที่เคยได้รับจากความรักและการครองคู่นั้นมักเป็นความรู้สึก ของความอยู่ร่วม ความเติมเต็ม ความแบ่งปัน และความอบอุ่น ความข้างเคียง บางคนมองความรักเป็นเหมือน การเติมในสิ่งที่ขาดหาย เป็นสิ่งที่ช่วยทำลายความเหงา เป็นสิ่งที่เพิ่มพลัง และเป็นสิ่งที่ห่มกอดความรู้สึก บางคนมองความรักเหมือนเป็นยารักษาแผลใจ รักษาความเดียวดาย แน่นอนว่าความรักมักจะรักษาและเป็นในสิ่งเหล่านี้ได้ แต่รู้หรือไม่ว่าคุณยิ่งเสพความรักมากเท่าใด ที่ยึดติดกับความรักมากเท่าใด คุณจะยิ่งเปราะบางและต้องพึ่งพิงความรักมากยิ่งขึ้นเท่านั้น! แท้ที่จริงแล้วในโลกนี้ สิ่งที่สามารถเติมพลังแห่งชีวิตได้ มิใช่มีเพียงแค่ความรักแต่เพียงอย่างเดียว มันยังมีอีกหลายต่อหลายแนวทางดีๆที่มีค่ามีความหมาย ที่คุณจะเสาะแสวงหาเพิ่มพลังให้จิตใจตัวเองได้ …
ระวังมนต์เพลงที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์อกหัก ในช่วงเวลาที่คุณต้องตกอยู่ภายใต้ความเสียใจ ขอให้ตระหนักไว้อย่างเคร่งครัดว่า สภาพของจิตใจคนในช่วงเวลาที่อ่อนไหวและเศร้าเสียใจ โดยเฉพาะคนที่ยิ่งเอาตัวเองไปจมความ เครียดซึมเศร้ามาอย่างหนักได้เรื้อรังยาวนานมาหลายวันนั้น สภาพประสาทสมองระบบความคิดความอ่าน และระบบสารเคมี และอารมณ์ของคุณ จะไม่ปรกติ นี่คือเรื่องจริง โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว ขอย้ำว่าไม่ปรกติอย่างแน่นอน! ที่ต้องย้ำก็เพราะว่า คนเราโดยทั่วไปเกือบแทบทุกคนจะไม่รู้ตัวเอง จะคิดว่าตัวเองปรกติ หรือแม้แต่บางคนที่มีจิตนิสัยคิดว่าตัวเองแน่ตัวเองเก่ง ตัวเองควบคุมได้ คนเหล่านี้ก็มักจะ ไม่เชื่อ และทำการเอาสภาพของอาการที่ไม่สมบรูณ์ทางจิตใจ ไปเที่ยวเผชิญกับ ปัจจัยภายนอกต่างๆ อย่างขาดการรู้เท่าทันถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้น และปัจจัยภายนอกที่จะสามารถส่งผลดีร้ายกระทบได้กับตัวคุณ ในภาวะที่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าได้ นั่นก็มีอยู่หลายอย่าง ที่คุณควจจะต้องตระหนักว่าไม่ควรสัมผัสในขณะที่ อารมณ์ของคุณยังอยู่เหนือเหตุผลและวิจารณญาณ และสิ่งภายนอกที่เราจะยกมากล่าวถึง ในที่นี้ นั่นก็คือ” เสียงเพลง” ซึ่งถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณควรต้องระมัดระวังให้มากๆ การฟังเพลงในภาวะของโรคซึมเศร้า…
ไม่พรากจากกันวันนี้ก็พรากจากกันวันหน้า ความเป็นจริงอันเป็นสัจธรรมของโลกนี้นั้น ก็คือ ชีวิตเรานั้นล้วนไม่มีสิ่งใดที่เราสามารถเอาไปได้ทั้งนั้น ยามมาเกิดเรามาเกิดคนเดียว ยามตายเราก็ต้องตายไปคนเดียวและเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ทั้งสิ้น ยามเผาหรือยามฝัง ร่างแหลกสลายเป็นผุยผง กลมกลืนไปกับธรรมชาติ เป็นเพียงเท่านั้น ชีวิตของคนเกิดมาหนหนึ่ง ได้พบความรัก ได้พบการอยู่ร่วม ได้เจอกับผู้คนหลายหลาก และอาจได้ครองคู่ แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายย่อมต้องต่างคนต่างพบวันที่ตายจากกัน คนเรานั้นบางครั้งเสียใจร้องไห้คร่ำครวญ จมอยู่กับความทุกข์ยาวนานพ่ายแพ้ชีวิต ทำตัวดุจดั่งราวกับโลกนี้แตกสลาย ในใจคาดหวังอยากจะฝืนหลอกความเป็นจริง คิดว่าหากได้คู่ครองกลับมา โลกนี้จะมีความสุขนิรันดร์ จะมีสุขนิรันดร์จริงหรือ? แต่แท้จริง ในความเป็นจริงของโลกนี้ แม้ต่อให้ฝันของคุณเป็นจริง คุณได้คนรักกลับมาแล้วอย่างไรต่อ? ………………………… ………….. … ในสภาพที่กำลังอ่อนแอและโหยหาอย่างที่สุด คงจะอิ่มเอมดูดดื่มความสุข กอดแน่นจับใจ…
อย่าเชื่อว่าตนเองไม่มีค่า จากคำกล่าวหาของผู้อื่น สำหรับในกรณีที่รักของคุณเป็นการเลิกลาในแบบที่ มีรูปแบบของการเขี่ยทิ้ง คนเรานั้นเวลาที่อยากจะหาเหตุผลเลิก มักจะพยายามขบคิดขุดค้นข้อเสีย เอามายึดถือเป็นเหตุ คนเรานั้นเวลาที่ไม่รักแล้ว นึกอยากจะถือโอกาสเป็นการแก้เผ็ด พูดจาทำร้ายจิตใจให้สาแก่ใจอย่างไรกันก็ได้ หรือบางคนมีปมความโกรธแค้นชัง ก็เผยออกมาต่อว่าต่อกันถือเป็นโอกาส บางคนเวลาเลิกรา ทิ้งคนรักไปกลับยังทิ้งท้ายด้วยคำพูดหยามหยันทำร้ายน้ำใจอีก คนที่ทำสิ่งนี้มักต้องการเรียกความเชื่อมั่นให้กับการกระทำของตัวเอง ด้วยการทำแบบนี้ หรือไม่ว่าคุณจะเจอสถานการณ์รูปแบบใดก็ตาม ที่ถูกคนรักของคุณหรือคนกลุ่มหนึ่งประนามหยามหยันตัวคุณ จงอย่าได้แคร์ หากว่าสิ่งที่คุณทำ คุณต้องใช้ปัญญาคิดให้ได้ถึงความเป็นจริง ว่าสิ่งที่คุณเป็นมันเป็นเรื่องเลวร้ายเรื่องแย่เกินไปของมนุษย์ที่มีดีมีชั่วจริงหรือ? ขอให้มองอยู่เสมอว่าอย่าให้ความสำคัญกับคนที่พูดจาดูถูกประนามคุณ เพราะหากแท้จริงแล้วยังมีคนอื่นในโลกนี้อีกมากที่มองเห็นค่าความสำคัญของคุณ เห็นในคุณค่าของคุณ จงอย่าให้ความสำคัญกับคำพูดของคนแค่คนเดียวหรือกลุ่มเดียวมาเป็นคำตัดสิน จงอย่าหลงกล ในสิ่งที่พวกเขาต้องการให้คุณเจ็บปวด คนที่กล่าวหาประนามคุณนั้นไม่ได้มีค่าอะไรในโลกนี้ที่คุณจะต้องแคร์คำตัดสินหรือวิจารณ์จากเขาเลย จงจำเอาไว้ว่า เราจะดีหรือจะชั่วนั้นอยู่ที่ตัวเราจงไตร่ตรองด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใส่ร้ายตนเองและไม่เข้าข้างตนเอง สิ่งใดที่เรารู้ว่าเราบกพร่องเราก็มีจิตที่จะแก้ไข สิ่งใดที่เรารู้ว่าเราดีเราก็อย่าไปเชื่อคำคน…
อย่าบูชาคนรักมากเกินกว่าความเป็นจริงของมนุษย์ เรื่องดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นกับหลายๆคน นั่นก็คือการบูชา คนรักของตนเองเกินความเป็นจริง ค่านิยมชนิดหนึ่งที่มักเป็นกันมากสำหรับคนที่กำลังมีคู่มีคนรักมีความรัก นั่นก็คือมักจะวาดภาพความรักของตนเองเอาไว้อย่างสวยงาม พร่ำพรรณาปรุงแต่ง ความเป็นจริงให้สวยงามเลิศหรู รวมถึงอยากจะซื้อใจคนรักของตัวเอง ด้วยการพร่ำพรรณาให้คนรักของตัวเองได้ฟัง อย่างเช่น ยกคนรักของตน ให้เป็นลมหายใจ ยกคนรักของตนให้เป็นชีวิต ยกคนรักของตนให้เป็นตัวแทนของสิ่งสำคัญต่างๆ วาดภาพไว้ดั่ง เทพบุตรหรือนางฟ้า เป็นสิ่งสูงค่า แทนความงดงามทุกสิ่งในโลก เวลาพบเห็นอะไรก็มักจะให้เป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆ สร้างมโนภาพปรุงแต่งจินตนาการเหนือความเป็นจริง อุปโลกษณ์สรรค์สร้าง ให้คนรักของตนเองเป็นในสิ่งนั้นเป็นในสิ่งนี้ สิ่งเหล่านี้ จะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจมากๆ ในยามที่รักของคุณผิดคาด หรือพังทลายลง หรือสูญเสียไป ความรู้สึกที่ฝังลึกในการปรุงแต่ง มันยากที่จะปรับเปลี่ยนได้ทัน สิ่งหนึ่งที่คุณควรทราบคือ ควรที่จะเรียนรู้โลกความเป็นจริง และความเป็นมนุษย์…
มองให้ถ่องแท้ รักหรือหลง ยามที่คุณกำลังเสียอกเสียใจอยู่กับความรัก บางครั้งคุณอาจต้อง ศึกษาตัวเองให้ดีเสียก่อนว่า สิ่งที่คุณกำลังเป็นนั้นมันมีส่วนผสมของความรักอยู่อย่างไร และส่วนผสมของความหลงอยู่อย่างไร แต่เชื่อหรือไม่ว่าผู้คนมากมายมักไม่ยอมรับตัวเอง ว่าความรักของตัวเองนั้นเป็นแค่เพียงความหลงใหล ความรักความหลงคืออะไร? ความหลงใหล นั้นก็คือการยึดติดในสิ่งภายนอก ไม่ว่า จะเป็นความหลงใหลในฐานะเงินทองยศศักดิ์ ความหลงใหลในหน้าตา เรือนร่างรูปโฉม หลงใหลในเสน่ห์นิสัยเอาใจออดอ้อน หรือมีบุคลิคที่ถูกใจในทางรสนิยมที่ตนเองชอบ หลงใหลในความอบอุ่น ที่เขามีให้ หลงใหลในเสน่ห์ ความสนุกสนานของเขา สิ่งเหล่านี้มักก่อเกิดความหลงใหลได้โดยทั้งสิ้น แม้แต่ความหลงใหลในความผูกพัณธ์ก็ตาม คนบางคน กับลูกแท้ๆแทบไม่เคยพาไปเที่ยว ไม่ค่อยให้เงินลูกใช้ แต่กับกิ๊กหรือแฟนใหม่ ทั้งหลายกลับเอาอกเอาใจ จ่ายเท่า ไหร่เท่ากัน หน้ามืดงมงายหลงอย่างชนิดโงหัวแทบไม่ขึ้น นี่คือความหลงที่ชัดเจน คนบางคน…
การรักษาใจในยามอกหักถึงขั้นโรคซึมเศร้า 2 จากบทที่แล้วที่เราได้กล่าวถึงภาวะอาการในระยะที่1 ซึ่งคุณจะต้องฝึกฝนใจยอมรับ ความเป็นจริงและเลิกดึงรั้ง เวียนว่ายอยู่ในวังวนของปัญหา ฉุดดึงตัวเองออกมาอย่างผู้มีใจ ที่จะเริ่มทำใจ และเริ่มบำบัดรักษาตัวเองให้ได้ จากนั้นคุณจึงจะเริ่ม ดำเนินการในลำดับที่2ต่อไป จงจำเอาไว้ว่า มันไม่มีทางที่คุณจะรักาาใจตัวเองได้เลย ตราบที่วันนี้คุณยังไม่มี แรงปราถนาอย่างเต็มเปี่ยมในการที่จะ ลืมเรื่องราวเลวร้ายและตั้งใจรักษาตัวเองอย่างจริงจังนับแต่นี้ไป หากคุณสามารถเข้าใจและพร้อมแล้วที่จะมีแรงตั้งใจที่จะ ทำใจกับเรื่องนี้ให้ได้ และคุณยังมีสติที่เข้ามาในจิตใจของคุณอยู่บ้าง แม้ว่าในบางเวลาคุณจะเผลอตัวฟุ้งซ่านไปบ้างก็ตาม แต่เมื่อคุณสามารถก้าวมาถึง การบำบัดรักษาในขั้นที่2นี้ได้ นั่นก็ถือว่าน่ายินดีบ้างแล้วที่คุณเริ่มมีใจที่จะยอมรับความเป็นจริง การรักษาในขั้นที่2 นี้คือการต่อสู้กับอาการเผลอใจ ใจที่ยังชอบเผลอวนเวียนคิดภาพความหลัง ใจที่ยังเปราะบางหวั่นไหวง่ายเวลาเจออะไรที่ทำให้ระลึกถึง และใจที่ยังเปี่ยมด้วยอารมณ์แห่งความอินต่อบรรยากาศความหลัง และตราตรึงในสิ่งที่พึ่งผ่านมา ซึ่งนับจากนี้ไปคุณจำเป็นที่จะต้อง เรียนรู้วิธีการบำบัดรักษาตัวเอง ซึ่ง มีหลายๆเรื่องที่คุณจะต้องเรียนรู้ การรักษาในลำดับต่อไปนี้นั้น…
การรักษาใจในยามอกหักถึงขั้นโรคซึมเศร้า1 อาการอกหักถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้านั้น แตกต่างจากการอกหักซึมเศร้าทั่วๆไป ซึ่งในประเภทนี้ถือเป็น ประเภทที่ต้องทำการรักษาเยียวยาจิตใจ คือสภาวะอกหักเสียใจรุนแรงและเรื้อรัง มีปมฝังลึกซับซ้อน เป็นแผลใจอยู่ภายในรู้สึกสะเทือนใจรุนแรง ให้ความสำคัญรุนแรง มีภาวะสับสน ทางจิตใจหาทางออกไม่ได้และอาการทรุดหนัก มีพฤติกรรมเริ่มไม่ปรกติ ย้ำคิดย้ำทำ วนเวียน เริ่มมีสติไม่ปรกติ มนุษย์เรานั้น แต่ละคนมีเนื้อหาของความรักไม่เหมือนกัน บางคนคบกันแบบความรักวัยเด็ก ความผูกพัณธ์อยากชิดใกล้ บางคนมีเนื้อหาร่วมทุกข์ร่วมสุขใช้เวลาคบหากันมา แนบแน่นฝังลึก บางคนถึงกับร่วมอยู่กินฝ่าร้อนฝ่าหนาวมาด้วยกัน บางคน ร่วมเผชิญสารพัดเนื้อหาของชีวิต มามากกว่า20ปี บริบทเนื้อหาของแต่ละคู่ของคนเรานั้น นับว่ามีความแตกต่างกัน และจิตใจของแต่ละคนนั้นก็ต่างกัน หากตัวคุณยังประคองสติตัวเองได้อยู่ ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมากมายนัก รักษาจิตใจตัวเองเดี๋ยวก็หาย และไม่มีอาการปมเก็บกดในแผลใจ นั่นแปลว่าคุณไม่ได้เป็น อาการของคนอกหักซึมเศร้าเสียใจรุนแรง อาจเป็นเพราะคุณมีวุฒิภาวะทางจิตใจ…